...

พญ.วิภา อุทยานินทร์

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลห้วยแถลง

ข่าวประชาสัมพันธ์

ประชาสัมพันธ์ ช่องทางการเข้าถึงบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ในวัยรุ่น

ช่องทางการเข้าถึงบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ในวัยรุ่น-คลินิกวัยรุ่น ณ หน่วยบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ-เพจ Facebook : YoungLove รักเป็นปลอดภัย-เว็บไซต์ RSATHAI.ORG เครือข่ายอาสาเพื่อการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย-สายด่วนปรึกษาปัญหาท้องไม่พร้อม 1663-สายด่วนสุขภาพจิต 1323-สายด่วนการศึกษา 1579-เลิฟแคร์ “กล้ารัก กล้าเช็ค” www.lovecarestation.com-มูลนิธิแพธทูเฮลท์ www.teenpath.net-Line Official Account: Teen club

คำแนะนำและมาตรการในการป้องกันควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่และโรคโควิด 19 สำหรับสถานศึกษา

หลักการสำคัญ: โรคไข้หวัดใหญ่และโควิด 19 เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่แพร่กระจายได้ง่ายในสถานศึกษา ซึ่งมีการรวมตัวของคนหมู่มาก การปฏิบัติตามมาตรการ DMH (Distancing, Mask Wearing, Hand Washing) เป็นสิ่งสำคัญ1. มาตรการด้านการเฝ้าระวังและคัดกรองโรค: เฝ้าระวังใกล้ชิด: ครู/อาจารย์ควรเฝ้าระวังนักเรียนที่มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ (คล้ายไข้หวัดใหญ่) และคัดกรองตามแบบที่กำหนด โดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาดควรคัดกรองทุกวัน แยกผู้ป่วยและแจ้งผู้ปกครอง: หากพบนักเรียนที่สงสัยป่วย ให้แยกออกจากกลุ่มและแจ้งผู้ปกครองทันที เพื่อพาไปพบแพทย์และพิจารณาให้หยุดเรียนตามคำแนะนำของแพทย์ (อย่างน้อย 5 วัน หรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น) รายงานกรณีพบผู้ป่วยหลายราย: หากพบนักเรียนสงสัยป่วยมากกว่า 2 รายใน 1 สัปดาห์ในห้องเรียนเดียวกัน ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่เพื่อสอบสวนและควบคุมโรค คัดกรองต่อเนื่อง: สถานศึกษาต้องดำเนินการคัดกรองทุกวันในช่วงที่มีการระบาดในสถานศึกษาหรือพื้นที่ใกล้เคียง พิจารณาปิดห้องเรียน/โรงเรียน: หากพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมาก ควรพิจารณาปิดห้องเรียนหรือโรงเรียนร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อชะลอการแพร่กระจายเชื้อ ทำความสะอาด: ทำความสะอาดอุปกรณ์และบริเวณที่มีการสัมผัสร่วมกันบ่อยๆ เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได อย่างสม่ำเสมอ 2. มาตรการด้านการป้องกันและควบคุมโรค: ให้ความรู้: สร้างเสริมความรู้เรื่องโรค การป้องกัน และการควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่และโควิด 19 ในวิชาสุขศึกษา รณรงค์/ประชาสัมพันธ์: รณรงค์และสื่อสารความรู้เรื่องโรค การป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่และโควิด 19 ให้นักเรียนอย่างทั่วถึง 3. มาตรการด้านการเตรียมความพร้อมรองรับการระบาด: พัฒนาบุคลากร: จัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและอบรมให้ความรู้ ฝึกทักษะแก่ครูและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค รวมถึงให้ความรู้กลุ่มเสี่ยง การได้รับวัคซีน อาการสำคัญที่ต้องพบแพทย์ และการกินยาตามสั่ง จัดเตรียมสถานที่และอุปกรณ์: จัดเตรียมห้องพยาบาล สถานที่แยกโรค และอำนวยความสะดวกในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ เช่น เจลแอลกอฮอล์ อ่างล้างมือพร้อมสบู่ หน้ากากอนามัยให้เพียงพอ ประสานงานกับหน่วยงานสาธารณสุข: ครู/อาจารย์ควรประสานงานกับ รพ.สต. สสอ. สสจ. ในการรณรงค์/ประชาสัมพันธ์ในสถานศึกษา กิจกรรมรวมกลุ่ม: หากมีการจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของนักเรียนจำนวนมาก เช่น ปฐมนิเทศ กีฬาสี เข้าค่าย ครู/อาจารย์ และนักเรียนควรปฏิบัติตามมาตรการ DMH อย่างเคร่งครัด 4. มาตรการด้านการดูแลรักษา: หากพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ ครูและอาจารย์ควรแนะนำให้ผู้ปกครองพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา และป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ 5. มาตรการด้านการจัดการเมื่อเกิดการระบาดของโรค: คัดกรองเพิ่มเติม: ดำเนินการคัดกรองนักเรียนเพิ่มเติมที่เข้าข่ายนิยามโรคไข้หวัดใหญ่และโควิด 19 ของกองระบาดวิทยา กรณีโรงเรียนประจำ/ค่ายค้างคืน: หากพบผู้ป่วยสงสัย ควรแยกผู้ป่วยออกจากกลุ่มนักเรียน และให้บุคลากร/นักเรียนปฏิบัติตามมาตรการ DMH อย่างเคร่งครัด

คำแนะนำสำหรับกิจกรรมการรวมตัวของคนหมู่มาก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคโควิด 19

1. ภาพรวมของโรค: โรคไข้หวัดใหญ่: เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) มี 3 สายพันธุ์ (A, B, C) ติดต่อผ่านละอองฝอยจากการไอจาม และการสัมผัสสิ่งของปนเปื้อน อาการคือไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย อาจมีอาการรุนแรงในเด็กเล็กและผู้ใหญ่บางราย โรคโควิด 19: เกิดจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ติดต่อคล้ายไข้หวัดใหญ่ อาการมีไข้ ไอ หายใจลำบาก ปอดบวม ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว และหญิงตั้งครรภ์ (กลุ่ม 608) มีความเสี่ยงอาการรุนแรงสูง 2. มาตรการป้องกันโดยรวม: DMH: D (Distancing): รักษาระยะห่าง M (Mask Wearing): สวมหน้ากากอนามัย H (Hand Washing): ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ 3. คำแนะนำสำหรับผู้จัดงาน/เจ้าภาพ: ให้ข้อมูลล่วงหน้า: แจ้งคำแนะนำการป้องกันแก่ผู้ร่วมงานผ่านช่องทางต่างๆ (จดหมาย, หนังสือพิมพ์, นิทรรศการ, ประกาศในงาน) อำนวยความสะดวก: ป้ายคำแนะนำ/หน่วยบริการสำหรับผู้ป่วย จัดอ่างล้างมือพร้อมสบู่/กระดาษทิชชูให้เพียงพอ ทำความสะอาดอุปกรณ์และบริเวณที่สัมผัสบ่อยๆ (ราวบันได, ลูกบิดประตู) ด้วยน้ำยาทำความสะอาด จัดหาหน้ากากอนามัยสำหรับผู้มีอาการที่จำเป็นต้องร่วมกิจกรรม จัดจุดปฐมพยาบาลสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการ แยกออกจากกิจกรรม และอำนวยความสะดวกในการส่งกลับบ้าน/โรงพยาบาล ลดความแออัด (เช่น เพิ่มจำนวนรถ, กระจายจุดจำหน่ายอาหาร) จัดบริการทางเลือกทดแทน (เว็บไซต์, ถ่ายทอดสด) 4. คำแนะนำสำหรับผู้มาร่วมกิจกรรม: ผู้ป่วย/มีอาการ: ควรหยุดพักรักษาตัวที่บ้านอย่างน้อย 5 วัน หรือตามคำแนะนำแพทย์ หากจำเป็นต้องเข้าร่วม ให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาและล้างมือบ่อยๆ (โควิด 19 ควรตรวจ ATK) กลุ่มเสี่ยง (ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง, หญิงมีครรภ์, ผู้สูงอายุ >65 ปี, เด็ก <2 ปี, ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ, ผู้มีโรคอ้วน): ควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนหมู่มาก โดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาด (โควิด 19 ควรตรวจ ATK) ประชาชนทั่วไป: ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่/เจลแอลกอฮอล์ ไอ/จาม ให้ใช้กระดาษทิชชูหรือผ้าปิดปาก/จมูก หากไม่มี ให้ไอจามใส่แขนเสื้อแทน การสวมหน้ากากอนามัย: มีประโยชน์มากหากมีอาการป่วย (ช่วยป้องกันการแพร่เชื้อ) ผู้ที่ไม่มีอาการอาจพิจารณาสวมในที่แออัดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ สรุปโดยรวม: การจัดกิจกรรมที่มีคนหมู่มากในช่วงการระบาดของไข้หวัดใหญ่และโควิด 19 มีความเสี่ยงสูง ผู้จัดงานและผู้เข้าร่วมงานควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด โดยเน้นการรักษาความสะอาด สุขอนามัยส่วนบุคคล การรักษาระยะห่าง และการสวมหน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็น เพื่อลดการแพร่กระจายของโรค

ประชาสัมพันธ์ การให้บริการฝังยาคุมและถอดยาคุม

การให้บริการฝังยาคุมและถอดยาคุมโดยนำบัตรประชาชน มายื่นได้ที่ กลุ่มงานเวชศาสตร์ครอบครัวและบริการด้านปฐมภูมิ (ตึกอำนวยการ ชั้น 1)- ให้บริการวันจันทร์และวันศุกร์ เวลา 08.00 - 15.00 น. (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)ติดต่อสอบถามโทร 044-082300 ต่อ 414

โรคแอนแทรกซ์

โรคแอนแทรกซ์ คืออะไรโรคแอนแทรกซ์ เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียบาซิลัส แอนทราซิส (Bacillus anthracis) ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียแกรมบวก รูปร่างเป็นเส้นยาวรี (Gram positive rod) มักพบในดินและอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในสัตว์ที่เลี้ยงในบ้าน หรือสัตว์ป่าได้ โรคนี้พบได้ทั่วโลก แต่เร็ว ๆ นี้มีข่าวการระบาดในประเทศเพื่อนบ้านของไทยจึงทำให้มีคนสนใจมากขึ้น และแนะนำให้เฝ้าระวังกัน โดยคนเราสามารถรับเชื้อนี้ได้ จากการสัมผัสสัตว์ที่ติดเชื้อ รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากสัตว์ต่างๆ เช่น ผม ขน เนื้อ หรือนม เป็นต้น แต่แอนแทรกซ์จะไม่สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้เราติดโรคแอนแทรกซ์ได้อย่างไรคนเราสามารถติดได้เมื่อสปอร์ของแบคทีเรียหลุดเข้ามาในร่างกายเพาะตัวขึ้นเกิดการแบ่งตัว และแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย แบคทีเรียจะผลิตสารพิษ (Toxins) และทำให้เกิดอาการที่รุนแรงได้สปอร์สามารถเข้าร่างกาย ทั้งทางการหายใจ การโดนบาดหรือมีแผลที่ผิวหนัง ดื่มน้ำ หรือกินอาหารที่ปนเปื้อน โดยเฉพาะนมที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์ หรืออาหารสุกดิบ นอกจากนี้ ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ก็มีความเสี่ยงสูงโรคแอนแทรกซ์ มีอาการอย่างไรโรคแอนแทรกซ์ แบ่งออกเป็น 4 ชนิด ซึ่งจะมีอาการแสดงแตกต่างกัน เนื่องจากสปอร์ของแบคทีเรียสามารถเข้าสู่ร่างกายคนได้หลายทาง อาการจึงสามารถแบ่งได้ดังนี้แอนแทรกซ์ในทางเดินหายใจ มักเกิดจากที่สูดดมเชื้อแบคทีเรียเข้าไป มักพบในคนที่สัมผัสผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่มีการปนเปื้อน เช่น ในอุตสาหกรรมที่มีการตัดขนสัตว์ หรือแปรรูปขนสัตว์ให้เป็นเสื้อผ้า มีรายงานในคนที่ตีกลองขนสัตว์ (Animal hide drums) เป็นต้น มักมีอาการไข้ หนาวสั่น อึดอัดแน่นหน้าอก ไอ ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน สับสน มึนหัว เหงื่อออกมากจนชุ่ม อ่อนเพลียมาก และปวดเมื่อยตามตัวแอนแทรกซ์ที่ผิวหนัง มักเกิดจากการปนเปื้อนที่ผิวหนังที่รอยตัด หรือแผลถลอก มีตุ่มหนองซึ่งมักจะคัน รอบแผลจะมีอาการบวมมาก ต่อมามักพบแผลลึกที่มีศูนย์กลางเป็นสีดำ ซึ่งระยะนี้มักจะไม่คัน ส่วนมากแผลมักพบที่บริเวณหน้า คอ แขน หรือมือ เพราะมักเป็นส่วนที่สัมผัสนอกร่มผ้าแอนแทรกซ์ในทางเดินอาหาร มักเกิดจากการกินอาหารสุกดิบ หรือน้ำนมที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในประเทศที่อาจไม่ได้มีการฉีดวัคซีนต้านแอนแทรกซ์ในปศุสัตว์อย่างสม่ำเสมอ หรือไม่ได้มีการตรวจก่อนทำการชำแหละเนื้อมาขายหรือบริโภค ผู้ติดเชื้อมักมีอาการไข้ หนาวสั่น เจ็บคอเวลากลืน เสียงแหบ คอบวม ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอโต คลื่นไส้อาเจียน บางครั้งอาจมีอาเจียนเป็นเลือด หน้าแดง ตาแดง ปวดท้อง ปวดศีรษะ ถ่ายเหลว ถ่ายเป็นเลือด ท้องบวม หรือหมดสติเป็นลมได้แอนแทรกซ์จากการฉีดยาเข้าเส้น พบได้น้อย แต่มีรายงานในยุโรป ในผู้ติดยาเสพติดแบบฉีดเข้าเส้น เช่น เฮโรอีน อาจมีไข้ หนาวสั่น ที่ผิวหนังบริเวณที่ฉีดมักพบเป็นกลุ่มฝีหนองขนาดเล็กหรือผิวที่บวมขึ้นมา ต่อมาค่อยมีแผลตรงกลางสีดำที่ไม่เจ็บ แต่บวมรอบแผล ถ้าฉีดลึกอาจมีฝีหนองขนาดใหญ่ใต้ชั้นผิวหนังได้ แม้อาการจะคล้ายกลุ่มแอนแทรกซ์ที่ผิวหนัง แต่อาจจะทำให้เกิดการกระจายได้อย่างรวดเร็วเมื่อเชื้อเข้ากระแสเลือดโรคแอนแทรกซ์ มีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร>แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการที่สงสัย ร่วมกับความเสี่ยง หากเกิดจากการหายใจ ควรตรวจเอกซเรย์ หรือ การตรวจซีทีสแกน โดยอาจเห็นมีน้ำในปอด หรือ ช่องอกที่กว้างขึ้น (Mediastinal widening)การวินิจฉัยยืนยันสามารถทำได้โดยการวัดแอนติบอดีหรือระดับพิษในเลือด หรือตรวจแบคทีเรียบาซิลัส แอนทราซิสในสิ่งส่งตรวจ ซึ่งได้แก่ เลือด ผิวหนังที่มีรอยโรค น้ำไขสันหลัง เสมหะ หรือน้ำในปอด โดยหากเก็บสิ่งส่งตรวจก่อนให้ยาปฏิชีวนะ จะทำให้มีโอกาสสามารถพบเชื้อได้มากขึ้นโรคแอนแทรกซ์ มีวิธีการรักษาอย่างไรรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ ได้แก่ เพนนิซิลิน ด๊อกซีไซคคลิน หรือกลุ่มควิโนโลน นอกจากนี้ยังมียาที่ต้านพิษที่สร้างจากเชื้อและเป็นยาปฏิชีวนะด้วย คือ คลินดาไมซิน ลิเนโซลิดบางรายอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะหลายขนานหากมีอาการรุนแรง เช่น ถ้าติดเชื้อในเยื่อหุ้มสมอง ต้องใช้ยาอย่างน้อย 3 ตัว โมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal antibody) และอิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) ที่จำเพาะกับเชื้อก็มีการนำมาใช้ด้วยผู้ป่วยบางรายแม้ว่าจะฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้แล้ว แต่พิษจากเชื้ออาจยังมีผลรุนแรงที่ต้องนอนในหอผู้ป่วยวิกฤต หรือต้องใส่ท่อช่วยหายใจ

เตือนคนไทย ระวัง โรครว้ายๆ วัยทำงาน

ที่ผ่านมา #โรครว้ายๆวัยทำงาน รวบรวมหลากหลายอาการ และโรคภัยที่เกี่ยวข้องกับวัยทำงานมาตลอด.เพราะในการทำงาน มีหลากหลายปัจจัยที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพเช่น การยกของหนักบ่อยๆ ความเครียด สัมผัสสารเคมีอันตราย รังสี และอื่นๆ อีกมากมาย.แต่คำถามที่น่าสนใจก็คือ‘แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? ว่าโรคหรืออาการที่เราอาจเป็นอยู่นั้นมีสาเหตุมาจากการทำงาน’.เพราะถ้าหากรู้สาเหตุของโรคหรืออาการจะช่วยให้เราได้รับการรักษาและดูแลได้อย่างตรงจุดมากขึ้น.และนี่ก็คือ เช็คลิสต์ 4 ข้อ สำหรับสังเกตโรค/อาการที่มีสาเหตุจากการทำงาน. 1. ‘รู้สึก’ ว่าการเจ็บป่วยของเราเกี่ยวกับการทำงาน 2. อาการป่วยขณะทำงานหรืออยู่ที่บ้านมีความ ‘แตกต่างกัน’ 3. ‘เพื่อนร่วมงาน’ ของเรามีอาการคล้ายๆกัน 4. ‘มีอาการมากขึ้น’ เวลามาทำงาน.ถ้าคุณตอบว่าใช่จาก 1 ใน 4 ข้อนี้แสดงว่าการอาการป่วยเหล่านั้น อาจมีสาเหตุมาจาก ‘การทำงาน’ .โดยสามารถขอคำปรึกษา หรือตรวจวินิจฉัยรักษาเพิ่มเติมได้ที่คลินิกโรคจากการทำงาน โรงพยาบาล ในพื้นที่ทั่วประเทศ.ที่มา:กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

โรคไข้ดำแดง (Scarlet fever)

โรคไข้ดำแดงหรือ scarlet fever  เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคที่เรียชื่อเสตร็ปโตคอสคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง   ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี ปัจจุบันพบโรคนี้ได้น้อยลงมากเนื่องจากผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม   เชื้อสเตร็ปโตคอสคัสชนิดเอ คืออะไร เชื้อแบคทีเรีย เสตร็ปโตคอสคัสชนิดเอ (Streptococcus group A) เป็นเชื้อก่อโรคสำคัญของคอหอยอักเสบ เชื้อนี้   สามารถสร้างสารพิษเรียกว่า อิริโทรเจนิกท๊อกซิน (Erythrogenic toxin) ซึ่งเป็นทำให้เกิดผื่นในไข้อีดำอีแดง โรคอื่นๆที่เกิดจากการติดเชื้อนี้ได้แก่ โรคติดเชื้อผิวหนัง โรคหัวใจรูมาติก เป็นต้น    ติดต่อได้อย่างไร   เชื้อชนิดนี้จะมีอยู่ในน้ำลาย เสมหะหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น น้ำมูก สามารถติดต่อได้โดยการหายใจสูดเอา   ละอองฝอยของเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรดหรือติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรงผ่านทางมือผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น แก้วน้ำ จาน ชาม ผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น   อาการเป็นอย่างไร  แรกเริ่มผู้ป่วยจะมีไข้สูงฉับพลัน หนาวสั่น ปวดศีรษะ อ่อยพลีย ปวดเมื่อยตามตัวและเจ็บคอ อาจพบตุ่มสีแดงที่ลิ้น คล้ายผลสตรอเบอรี่ ทอนซิลก็จะบวมแดงและมีหนอง อาจคลำได้ต่อมน้ำเหลืองที่ข้างลำคอโต หลังจากมีไข้ 1-2 วัน ผู้ป่วยจะเริ่มมีผื่นแดงขึ้นบริเวณรอบคอ หน้าอก และกระจายไปตามลำตัวและแขนขาอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง  ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีผื่นเป็นอาการแรกก็ได้ ผื่นจะมีลักษณะเป็นเม็ดหยาบๆเมื่อลูบจะรู้สึกสากๆคล้ายกระดาษทราย มักจะไม่ขึ้นที่ใบหน้า แต่อาจจะพบในลักษณะที่แก้มแดงและรอบปากซีด อาจจะมีอาการคันบริเวณผื่นได้ ต่อมาผื่นจะมีสีเข้มขึ้นบริเวณรอยพับตามผิวหนัง โดยเฉพาะที่ข้อพับแขน เรียกว่า เส้นพาสเตีย (Pastia’ s line)  หลังจากผื่นขึ้น 3-4 วันจะเริ่มจางหายไป หลังจากผื่นจางได้ 1 สัปดาห์จะมีอาการลอกเป็นแผ่นของผิวหนังบริเวณรักแร้ ขาหนีบ ปลายนิ้วมือเท้า ส่วนตามลำตัวมักลอกเป็นขุยๆ อาการผิวลอกนี้บางรายอาจจะพบติดต่อกันได้นานเป็นเดือนอาการแทรกซ้อนที่สำคัญได้แก่ โรคไข้รูมาติกและหน่วยไตอักเสบเฉียบพลันซึ่งมักเกิดหลังต่อมทอนซิลอักเสบประมาณ 1-4 สัปดาห์ (เกิดจากปฏิกิริยาของแอนติบอดีที่ถูกกระตุ้นด้วยเชื้อสเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอต่ออวัยวะต่างๆของร่างกาย)วินิจฉัยได้อย่างไรโรคนี้สามารถวินิจฉัยได้จากประวัติและอาการแสดงของโรคเป็นหลัก การส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการติดเชื้อชนิดนี้ ได้แก่ การเพาะเชื้อจากคอหอยผู้ป่วยซึ่งใช้เวลาอย่างน้อย 3-4 วันหรือการตรวจหาเชื้อจากคอหอยโดยวิธี rapid strep test ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงแต่สามารถส่งตรวจได้บางโรงพยาบาลเท่านั้น  การรักษาทำอย่างไรรักษาที่ด้วยยาปฏิชีวนะ ได้แก่ เพนนิซิลิน(Penicillin) อะมอกซิซิลิน (Amoxycillin) หรืออิริโทรมัยสิน (Erythromycin) เป็นเวลา 10 วัน และแม้อาการจะหายไปภายใน 3-4 วันก็ต้องรับประทานยาต่อไปจนครบ 10 วันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคไข้รูมาติกและหน่วยไตอักเสบแทรกซ้อนให้การรักษาตามอาการอื่นๆที่ตรวจพบ แนะนำให้นอนพักผ่อน ดื่มน้ำมากๆควรกลับมาพบแพทย์เมื่อได้รับการรักษาแล้วกลับเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา ได้แก่ มีไข้ร่วมกับอาการเหนื่อยง่าย ปวดข้อ หรือตุ่มหรือก้อนที่ใต้ผิวหนัง หรือมีอาการบวม ปัสสาวะเป็นสีแดงหรือเลือดปน เป็นต้นระยะเวลาการติดต่อและควรหยุดโรงเรียนนานแค่ไหนควรให้หยุดเรียนหรือแยกตัวออกจากผู้อื่นจนกว่าได้ยาปฏิชีวนะไปแล้วอย่างน้อย 24 ชั่วโมงจึงจะไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่นการป้องกันทำได้อย่างไรเนื่องจากยังไม่มีวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อสเตร็ปโตคอสคัสชนิดเอ การป้องกันการติดเชื้อจึงสามารถทำได้โดยปฏิบัติดังต่อไปนี้ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ดัวยการรับประทานอาหารที่ประโยชน์ครบ 5 หมู่ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยแต่หากมีความจำเป็นที่ต้องใกล้ชิดกับผู้ป่วยจะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาร่วมกับล้างมือก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วยหรือของใช้ของผู้ป่วยอย่าใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย โดยเฉพาะของใช้ส่วนวตัว เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น

สถานการณ์คุณภาพอากาศ PM 2.5 จังหวัดนครราชสีมา ข้อมูล ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568

ฝุ่น PM2.5 คืออะไรฝุ่น PM2.5 คือ ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือมีขนาดประมาณ 1 ใน 25 ของเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผมมนุษย์ฝุ่นขนาดเล็กจิ๋วนี้ เกิดขึ้นจากกิจกรรมหลายชนิด อาทิเช่น การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ และการก่อสร้าง ซึ่งเป็น 2 สาเหตุหลักของมลพิษทางอากาศในเมืองใหญ่ฝุ่น PM2.5 เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะสามารถเดินทางผ่านทางเดินหายใจสู่ปอดและกระแสเลือดได้ง่าย เพิ่มโอกาสของโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ และต้องป้องกันด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐานป้องกันฝุ่นขนาดเล็กโดยเฉพาะ

ประกาศรับสมัครงาน
รับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุเป็นลูกจ้างชั่วคราว ตั้งเเต่วันที่ 11 - 30 มิถุนายน 2568
เผยแพร่ : 11 มิ.ย. 2568 ดู : 135
ประกาศ รับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุเป็นลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่ง พนักงานช่วยเหลือคนไข้, พนักงานบริการ, พนักงานเปล, พนักงานรักษาความปลอดภัย
เผยแพร่ : 21 เม.ย. 2568 ดู : 635
ประกาศรับสมัครพนักงานจ้างเหมาบริการรายวัน ตําแหน่ง นักกายภาพบําบัด, พนักงานช่วยเหลือคนไข้ 23 ธันวาคม 2567
เผยแพร่ : 27 ธ.ค. 2567 ดู : 1,827
ประกาศรับสมัครพนักงานจ้างเหมาบริการ ตำแหน่ง นักกายภาพบำบัด 15 พฤษภาคม 2567
เผยแพร่ : 15 พ.ค. 2567 ดู : 2,178
ประกาศรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุเป็นลูกจ้างชั่วคราว 22 พฤศจิกายน 2566
เผยแพร่ : 24 พ.ย. 2566 ดู : 2,676
อ่านทั้งหมด

ผู้บริจาค

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง